www.bangkokbiznews.com

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

http://farm-machinery.agr.ku.ac.th/วันที่ 4 – 6 กันยายน 2552 คณะเกษตร ภาควิชาเกษตรกลวิธาน การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรพืช

 

ฝึกอบรม จัดโดยคณะเกษตร ภาควิชาเกษตรกลวิธาน
มี 3 โครงการ ไม่เสียค่าใช้จ่าย รายละเอียดดังนี้

1. การฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบการให้น้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตสำหรับพืชเศรษฐกิจ
เปิดรับสมัครจำนวน 40 คน
•        ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 5 – 7 มิถุนายน 2552
2. การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเครื่องยนต์การเกษตร เปิดรับสมัครรวม 2 รุ่น ๆ ละ 15 คน
•        รุ่นที่ 1 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 22 – 25 มิถุนายน 2552
•        รุ่นที่ 2 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 13 – 16 กรกฎาคม 2552

3.การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรพืช
เปิดรับสมัครรวม 2 รุ่น ๆ ละ 30 คน
•        รุ่นที่ 1 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 7 – 9 สิงหาคม 2552
•        รุ่นที่ 2 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 4 – 6 กันยายน 2552

รับสมัครผ่าน เวปไซด์ http://farm-machinery.agr.ku.ac.th


--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คุณเก็บตารางนัดหมายที่ใด !! ลองมาดู Google Calendar และการเชื่อมโยงกับมือถือของคุณ

วันศุกร์ ที่ 10 กรกฎาคม 2552
คุณเก็บตารางนัดหมายที่ใด !! ลองมาดู Google Calendar และการเชื่อมโยงกับมือถือของคุณ
Posted by สภากาแฟ , ผู้อ่าน : 308 , 17:58:56 น.  
หมวด :
วิทยาศาสตร์/ไอที

พิมพ์หน้านี้


เมื่อวานนี้ได้ไปคุยกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้ประกอบการ SME พอดีไปคุยกันเรื่อง Calendar หรือตารางนัดหมายที่ใช้ๆกันในปัจจุบัน ผมถามเพื่อนๆว่าวันนี้ทำอย่างไร

  • บางคนโชคดีหน่อยทุกอย่างให้เลขาส่วนตัวทำหมด เวลาใครจะนัดหมายก็ให้ติดต่อเลขาแทน ผมถามเขาต่อว่าถ้าเป็นนัดหมายส่วนตัว หรือเลขาไม่อยู่ทำอย่างไร เพื่อนก็ตอบว่า ก็ต้องรอละ แล้วถ้าลืมละใครมาเตือนก็คงตอบไม่ได้
  • อีกรายดูดีหน่อย เขาเก็บทุกอย่างลงในเครื่อง Notebookของเขา ผมถามว่าแล้วถ้าไม่ได้พก Notebook อยู่แล้วคนโทรมานัดหมายทำอย่างไร เขาก็บอกว่าต้องกลับไป check ดูละ แล้วถ้าแต่ละวันมีหลายนัดทำอย่างไรถ้าไม่ได้เปิด Notebook ตลอด เขาก็บอกว่าก็ต้องจำเอาหรือจดไว้
  • คนสุดท้ายเก็บนัดหมายไว้ในโทรศัพท์ ก็ดูดีหน่อยพกติดตัวตลอด ผมถามเขาว่าแล้วนัดหมายเก่าๆทำอย่างไร พอดีเขาไม่ทราบว่า Sync กับ Notebook ได้ก็เลยแนะนำเขา แต่ก็มีปัญหาละเพราะต้องมั่นทำการ Sync กันบ่อยๆ และอีกอย่างถ้าเครื่องมือถือพังมาหรือหายไปคงวุ่น ถ้าไม่ได้ Sync ข้อมูลไว้ แต่ข้อสำคัญก็ต้อง Sync กับโปรแกรม Outlook หรือโปรแกรมนัดหมานที่อาจต้องเสียค่าลิขสิทธิ์นะครับ

ผมก็เลยบอกว่า ผมเก็บนัดหมายไว้ใน Google Calendar ข้อดีก็คือผมไม่ต้องหยุดติดกับเครื่องใดเครื่องหนึ่ง User Interface ก็เหมือนกับ โปรแกรมบน Desktop เราสามารถกำหนดการนัดหมายแล้วลากเคลื่อนที่ปรับเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นผมสามารถจะดูการนัดหมายผมผ่าน Web Browser เครื่องไหนก็ได้ สำหรับเครื่อง Notebook ตัวเองผมติด โปรแกรม Plugin ของ Mozilla Thunderbird ทำให้ผมสามารถดูการนัดหมายโดยไม่ต้องใช้ Web Browser และถ้ามีนัดหมายใดทาง E-mail ก็ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้



เพื่อนๆที่มีมือถืออาจแย้งว่าใช้นัดหมายบนมือถือดีกว่า ผมก็บอกเลยว่า Google Calendar ผมนี่มัน Sync อยู่กับโปรแกรมนัดหมายบนมือถือ โดยผมเลือกใช้บรืการที่ติดตั้งที่เว็บไซต์ www.goosync.com ผมสามารถที่จะ sync กับมือถือได้ทุกที่ทุกเวลาผ่าน Internet หรือ GPRS ครับ ดังนั้นถ้าผมเล่นอยู่ในที่ๆมี Wifi ผมก็ Sync ผ่าน wifi ครับเพราะมื่อถือผมใช้ได้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาณ wifi ก็ sync ผ่านGPRS ของโอเปร์เรเตอร์ละครับ

บริการ Goosync ที่เป็น Basic คือ sync ได้หนึ่งเดือนใช้ฟรัครับ และก็สนับสนุนมือถือทุกรุ่นตั้งแต่ Nokia ไปจนถึง iPhone อย่างของผมใช้รุ่นNokia E71 ก็มีครับ แต่บังเอิญผมต้องเก็บนัดหมายล่วงหน้ามากเป็นเวลาหลายเดือนเลยเลือกใช้บริการแบบเสียเงินครับ ถึงตอนนี้ผมต้องบอกว่าการเก็บตารางนัดหมายของผมเป็นแบบ Ubiquitous คือทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ จะดูผ่านเน็ตเครื่องใดก็ได้ หรือจะเลือกใช้โปรแกรม Notebook ส่วนตัว หรือจะดูผ่านมือถือ ข้อมูลตัวเดียวกันหมดครับ ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะหายไป


ผมว่าลองเข้าไดูซิครับ ท้ง Google Calendar, Goosync, และ Mozilla Thunderbird แต่ถ้ายังกังวลว่าเก็บตารางนัดหมายในGoogle ไม่ปลอดภัย กลัวข้อมูลหาย (!!!) ก็ยัง sync เข้ากับโปรแกรมนัดหมายใน Desktop ได้ ถ้าอยากจะเสียเงินซื้อ
http://www.oknation.net/blog/thananum/2009/07/10/entry-1


 

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"ขบวนการซื้อขายเด็กทารก"


วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 20:44:25 น.  มติชนออนไลน์

“ขบวนการซื้อขายเด็กทารก” 
 


 

โดย เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา

 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีข่าวครึกโครมเกี่ยวกับการจับกุมขบวนการซื้อขายเด็กทารกที่จังหวัดสงขลา   โดยมีนายหน้าชาวไทยเป็นธุระในการจัดหาเหยื่อ และส่งต่อให้กับนายหน้าชาวมาเลเชีย    ผลของการจับกุมทำให้เห็นภาพของเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบการซื้อขาย เด็กทารก  ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ


ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา จึงขอตีแผ่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีศึกษาที่มูลนิธิกระจกเงาเคยดำเนินการ ในเรื่องนี้


รับแจ้งเหตุการค้าเด็ก

 

ปลายปี พ.ศ. 2551   ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์   มูลนิธิกระจกเงา ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก   หญิงชราคนหนึ่งอ้างตัวว่าหลานสาวอายุ  1 ขวบ ถูกมารดา ซึ่งเป็นบุตรสาวของตนขายให้กับชาวมาเลย์ที่บริเวณชายแดนภาคใต้ของประเทศ ไทย                                                  

      

ทีมงานศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์    มูลนิธิกระจกเงา   ได้ลงพื้นที่บริเวณด่านนอก  อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่า มีการซื้อขายเด็กทารกกันที่นี่

      

จากการสอบปากคำ ยายและป้าของเด็ก  ทำให้ทราบข้อเท็จจริงว่า   มารดาของเด็กประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริการในร้านคาราโอกะแห่งหนึ่งบริเวณชาย แดนอำเภอสะเดา หรือที่เรียกกันในพื้นที่ว่า “ด่านนอก” สถานภาพครอบครัวของเด็กเป็นครอบครัวที่มีการหย่าร้าง  มารดาของเด็กจึงพาลูกมาอยู่ที่ด่านนอก  ตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ด้วยอาชีพของมารดาที่ต้องทำงานกลางคืนและพักผ่อน ตอนกลางวัน  จึงทำให้ มารดาไม่มีเวลาเลี้ยงลูก  จึงได้ว่าจ้างคนบริเวณใกล้เคียงร้านคาราโอเกะมาเลี้ยงลูก

       

 ด้วยพฤติกรรมของมารดาเด็กที่เป็นคนดื่ม เที่ยว และใช้สารเสพติด  เป็นเหตุให้ไม่มีเงินค่าจ้างจ่ายแก่ผู้รับเลี้ยงดูลูก  จึงต้องเปลี่ยนคนรับจ้างเลี้ยงลูกหลายคน   กระทั่งคนรับจ้างเลี้ยงเด็กคนสุดท้าย  แนะนำให้มารดาของเด็ก ขายเด็กเพื่อใช้หนี้ และอาจจะมีเงินเหลือเพื่อใช้จ่าย!!!!

      

คนรับเลี้ยงเด็ก เป็นธุระในการติดต่อคนรับซื้อเด็กทารก  ซึ่งเป็นชายชาวมาเลย์ กระทั่งมีการซื้อขายเด็กทารกผู้น่าสงสารรายนี้ ในราคาเพียง 20,000 บาท!!!


ตกเขียวในครรภ์มารดา

      

จากการลงพื้นของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์  มูลนิธิกระจกเงา  พบว่าในพื้นที่ “ด่านนอก”  มีสถานบันเทิงประเภทร้านคาราโอเกะ  ดิสโก้เธค  และนวดแผนโบราณอยู่อย่างหนาแน่น    ด้วยเหตุนี้เองจึงมีหญิงขายบริการจำนวนมากเป็นเงาตามตัว    ในขณะที่ข้อห้ามอย่างหนึ่งของหญิงขายบริการก็คือ “การห้ามตั้งท้อง”เพราะนั่นหมายถึงการไม่สามารถทำงานได้ และเป็นภาระในอนาคต 

   

ด้วยเหตุนี้เองหญิงขายบริการที่พลาดท่าตั้งครรภ์   จึงมีความคิดที่จะเอาเด็กออกหรือทำแท้ง จึงเป็นช่องว่างให้ขบวนการค้ามนุษย์เข้ามาเสนอขอซื้อเด็กทารก  โดยมีเงินจำนวนหมายหมื่นบาทเป็นตัวล่อ ให้หญิงตั้งครรภ์เก็บเด็กไว้จนคลอดเพื่อขาย

   

มีข้อมูลที่น่าสนใจในพื้นที่ด่านนอก ว่ามีร้านคาราโอเกะบางแห่ง เป็นนายหน้าในการติดต่อหญิงบริการที่ตั้งครรภ์  โดยการรับมาอยู่ในร้านจนกว่าจะคลอด หรือยินยอมให้พนักงานในร้านตั้งครรภ์ได้ ซึ่งผิดวิสัยของสถานบันเทิงทั่วไป  เพราะหญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถทำงานบริการได้  โดยร้านคาราโอเกะดังกล่าวจะให้ที่พักแก่หญิงตั้งครรภ์ เพื่ออยู่จนกระทั่งคลอดลูก


ข้อมูลจากการสืบสวนของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา  พบว่ามีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง   เปิดร้านคาราโอเกะบริเวณด่านนอกมาหลายปี        และมีพฤติกรรมน่าสงสัยในการเป็นนายหน้าหาเด็กเพื่อส่งให้เอเย่นต์ ชาวมาเลเซียอีกทอดหนึ่ง   โดยรับหญิงตั้งครรภ์เข้ามาอยู่ในร้าน และมีการเกลี้ยกล่อมให้หญิงตั้งครรภ์   เก็บลูกไว้เพื่อขาย  


แหล่งข่าวในพื้นที่ยังให้ข้อมูลกับศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้า มนุษย์ มูลนิธิกระจกเงาว่า  ร้านคาราโอเกะแห่งนี้จะมีนายหน้าชาวมาเลเชีย เชื้อสายจีนวัยกลางคน  เป็น   ผู้มารับซื้อเด็กทารก  โดยชายคนดังกล่าวจะข้ามฝั่งจากมาเลเชียมาดื่มกินที่ร้านคาราโอเกะแห่งนี้ เสมอ  และมักจะพูดคุยถึงเรื่องการรับซื้อเด็กทารกจากหญิงบริการที่ตั้งครรภ์  จนเป็นที่รู้กันในพื้นที่ใกล้เคียงว่าหากหญิงคนใดต้องการขายลูก ต้องมาติดต่อกับชายคนดังกล่าว

 

กลุ่มเสี่ยงในตลาดค้าเด็ก

      

เด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นหญิงขายบริการที่ด่านนอก   มีทางเลือกให้กับพวกเขาเพียงไม่กี่ทาง คือ  การถูกทำแท้ง หรือถูกขายให้กับขบวนการค้ามนุษย์  เพราะด้วยเงื่อนไขทางด้านอาชีพทำให้หญิงขายบริการไม่ควรตั้งครรภ์ และด้วยความที่การตั้งครรภ์ไม่ได้เกิดจากสถานะความเป็นครอบครัว ทำให้เด็กที่เกิดมา อาจจะกลายเป็นลูกไม่มีพ่อ    มารดาของเด็กจึงไม่อาจจะรับภาระในการเลี้ยงดูบุตรโดยลำพังได้


นอกจากนี้หญิงบริการส่วนหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ จะเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอิสระกิน เที่ยว และอาจใช้สารเสพติด ตลอดจนมีพฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  จึงทำให้เป็นกลุ่มเสี่ยงในการถูกชักจูง และหว่านล้อมให้ขายบุตรของตนเอง  
 
นอก จากนี้บริเวณด่านนอก หญิงขายบริการส่วนใหญ่เป็นหญิงที่เดินทางมาจากประเทศเพื่อนบ้านโดยการหลบหนี เข้าเมือง  ดังนั้นการให้กำเนิดบุตรในประเทศไทย เป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร    หญิงขายบริการจึงตกเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดในการถูกเสนอซื้อขายเด็กทารก

 

จำนวนเงินตั้งแต่ 20,000-80,000 บาท เป็นราคาค่าตัวเด็กที่จะถูกซื้อข้ามแดนนำไปยังฝั่งประเทศมาเลเซีย   จำนวนเงินอาจจะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง  แต่เงินจำนวนนี้ก็มากพอที่จะจูงใจให้แม่หลายราย ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์  ยินยอมที่จะรับเงินดังกล่าว และมอบชีวิตของลูกน้อยให้กับขบวนการค้ามนุษย์ไป


ปลายทางของเด็ก


ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการอุ้มเด็กทารกที่มิใช่บุตรหลานของตัวเอง  สามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของทั้งสองประเทศได้อย่างไร  เพราะด่านตรวจคนเข้าเมืองยืนยันว่าต้องตรวจเอกสารของเด็กที่พาผ่านด่านว่ามี ความสัมพันธ์กับคนที่พาเด็กหรือผู้ติดตามมาด้วยหรือไม่

 

ปลายทางของเด็ก เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่าเด็กทารก หรือเด็กที่ยังอายุน้อยๆ จะสามารถนำไปแสวงหาผลประโยชน์อะไรได้บ้าง เนื่องยังไม่มีการจับกุมขบวนการเหล่านี้จนถึงปลายทาง  ข้อสันนิษฐาน จึงอาจเป็นไปได้ว่า  เด็กทารกอาจถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการขอทาน หรือ ซื้อไปเพื่อเลี้ยงเป็นลูกสำหรับผู้มีลูกยาก

 

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากผู้ใหญ่ในวงการสิทธิเด็กท่านหนึ่ง ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ในประเทศมาเลเชียจะมีกฎหมายมรดก หากเจ้ามรดกไม่มีทายาททรัพย์สมบัติจะตกเป็นของแผ่นดิน  ดังนั้นจึงมีการซื้อเด็กทารกเพื่อแจ้งเกิดเป็นบุตรของตนเอง นอกจากนี้ยังมี ข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งที่น่าสนใจคือ การซื้อเด็กไปเพื่อเลี้ยงไว้ใช้งานในบ้าน ซึ่งการลงทุนดังกล่าว จะถูกกว่าการจ้างคนมาทำงาน เพราะไม่ต้องจ่ายเงินเดือน มีเพียงอาหารให้กินเท่านั้น

 

ข้อเท็จจริง ดังกล่าว  ควรเป็นเรื่องที่รัฐบาลของทั้งสองประเทศ ต้องร่วมกันหาคำตอบว่า มีการนำเข้าเด็กทารกจากประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเชีย พื่อการใด ???


 ปัญหาเรื่องการซื้อขายเด็กทารกตามแนวชายแดน โดยเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นใหม่   แต่เนื่องจากคนในครอบครัวของเด็ก เป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด   ปัญหาดังกล่าวจึงถูกหมักหมม อยู่ตามแนวชายแดน  

 

เมื่อปัญหาดังกล่าวนี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาในสังคม  ก็คงถึงเวลาต้องสะสางปัญหานี้เสียที ในฐานะของปัญหาการค้ามนุษย์ข้ามชาติ


-- http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1251121635&grpid=no&catid=02
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://itceoclub.ning.com
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.logex.kmutt.ac.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://pwdhutch3.blogspot.com
http://energygreenhealth.com

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

7 เรื่องน่ารู้ ... หลีกหนีมะเร็งตับ

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11489 มติชนรายวัน


7 เรื่องน่ารู้ ... หลีกหนีมะเร็งตับ




เชื่อ หรือไม่ !! คนไทยป่วยตายด้วยโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก ทำให้โรคมะเร็งคงครองแชมป์สาเหตุการเสียชีวิตของประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ มาแรงถึงขั้นแซงสาเหตุใหญ่ๆ อย่างอุบัติเหตุ และโรคหัวใจกันเลยทีเดียว ยิ่งฟังแบบนี้ก็ยิ่งทำใครหลายๆ คนต้องขนลุกขนพองไปตามๆ กัน แต่ถึงแม้ว่าโรคมะเร็งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรคที่คนกลัวกันมากที่สุด ด้วยกิตติศัพท์เรื่องลือไปต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด รักษาหายยาก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งก็เข้าขั้นเกือบสุดท้ายซะ แล้วแถมเสียชีวิตอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก รู้ทั้งรู้ขนาดนี้ แต่ทำไม้...ทำไม...อัตราการป่วยก็ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย หากแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ถึงเวลาแล้วหรือยัง...ที่เราต้องหันมาดูแลรักษาสุขภาพให้ห่างไกลพฤติกรรม กระตุ้นสารก่อมะเร็งหลีกหนีโรคร้ายที่ว่านี้ดีกว่ามั้ย ??

จริงๆ แล้วหากจะพูดถึงโรคมะเร็งตับก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หลายๆ คนอาจจะเคยคุ้นหูกับคำรณรงค์ที่ว่า "กินสุกๆ ดิบๆ พยาธิใบไม้ตับถามหา" จากกระทรวงสาธารณสุขที่รณรงค์อย่างต่อเนื่องมานานกว่า 30 ปี แต่คำคุ้นหูที่ว่าไม่ได้ส่งผลให้อัตราการป่วยและตายด้วยโรคมะเร็งตับใน ปัจจุบันลดลงตามเป้าที่ตั้งไว้เท่าที่ควรจะเป็น เพราะประชาชนคนไทยยังไม่ปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อผิดๆ รวมถึงพฤติกรรมการกินที่ผิดสุขลักษณะอันเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคร้ายดัง กล่าว แต่ก่อนที่จะไปเรียนรู้วิธีป้องกัน เรามาทำความรู้จักกับโรคมะเร็งตับแบบจริงจังอีกครั้งดีกว่า

โรค มะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ ซึ่งพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และสารอัลฟาท็อกซินในเชื้อราบางชนิดที่ขึ้นบนถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง หัวหอม กระเทียม เป็นต้น และมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุภายในท่อน้ำดีส่วนที่อยู่ภายในตับ เกิดจากพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งเป็นพยาธิที่มีอยู่ในปลาน้ำจืดตามหนองบึง เช่น ปลาแม่สะแด้ง ปลาตะเพียนทราย ปลาสร้อยนกเขา ปลาสูตร ปลากะมัง ฯลฯ ซึ่งพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่พบในอาหารพวก โปรตีนหมัก เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม ฯลฯ และอาหารพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น กุนเชียง ไส้กรอก เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น

ทั้งนี้ หากอยากที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว ห่างไกลโรคมะเร็งตับ ทำได้ง่ายๆ เพียงจดจำบัญญัติ 7 ประการและนำไปปฏิบัติ เพียงแค่นี้รับรองว่า มะเร็งร้ายไม่แวะมาเยี่ยมเยือนอย่างแน่นอน ..

บัญญัติที่ 1 ป้องกันและรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับ เลิกกินปลาน้ำจืดมีเกล็ดแบบสุกๆ ดิบๆ โดยเด็ดขาด หากท่านยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ประเภทปลาร้า ปลาจ่อมรสแซ่บ แหนม ฯลฯ โปรดรู้ไว้ว่าคุณได้นำพยาธิใบไม้ตับและสารไนโตรซามีนซึ่งสารก่อมะเร็งตับ ชนิดร้ายแรงเข้าสู่ร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายๆ คนอาจจะคิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ทานสุกๆ ดิบๆ แล้วก็ทานยาถ่ายพยาธิตามไปสิ เดี๋ยวร่างกายก็จะถ่ายพยาธิใบไม้ตับออกมาเอง ความเชื่อที่ว่าผิดอย่างมหันต์ เพราะพยาธิเมื่อเข้าไปในร่างกายเราแล้วมันจะกัดทำลายทำให้ท่อน้ำดีอักเสบ ตรงกันข้ามผลการวิจัยพบว่าคนที่ใช้ยาถ่ายพยาธิบ่อยครั้งในขณะที่ยังไม่หยุด กินปลาดิบกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงจะทานยาถ่ายพยาธิเข้าไป ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณปลอดภัยจากโรคมะเร็งตับ

บัญญัติที่ 2 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ได้แก่ อาหารที่มีราขึ้น อาหารใส่ดินประสิว และไนไตรซามีน เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก เบคอน รวมถึงอาหารประเภทหมักดอง เค็มจัด เผ็ดจัด

บัญญัติที่ 3 รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ เรื่องอาหารการกินปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีการดำรงชีวิตของ มนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ในบางครั้งเราอาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า เราเลือกรับประทานได้อย่างถูกต้องแล้วหรือยัง? ดังนั้น การรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เคล็ดลับง่ายๆ เริ่มปฏิบัติด้วยการรับประทานอาหารให้ครบหลัก 5 หมู่ ในปริมาณที่ครบถ้วนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงการรับประทานผัก ผลไม้สด เป็นประจำ ในแต่ละวันร่างกายคนเราควรรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ซึ่งอุดมไปด้วย สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนานาชนิดเพื่อร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยทางการแพทย์แนะนำว่าควรบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณ 400 กรัมต่อวัน อันจะนำไปสู่การมีภาวะโภชนาการที่ดีต่อไป

บัญญัติที่ 4 ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อพฤติกรรมสุขภาพดี ดั่งคำเปรียบเปรย "สุขภาพดีนั่นคือลาภอันประเสริฐ" ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่กินอยู่นอนหลับอย่างพอดี เพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย พร้อมทั้งการดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ก็เป็นแนวหนึ่งที่จะทำให้สุขภาพดีแบบพอเพียงได้เช่นกัน

บัญญัติที่ 5 เลิกดื่มสุราและงดสูบบุหรี่ บุหรี่มีโทษอนันต์เพราะมีสารก่อมะเร็งมากถึง 43 ชนิด

บัญญัติ ที่ 6 ลดความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิถีชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันเต็มไปด้วยเรื่องราวชวนปวดสมอง อันเป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่จะคอยกัดกินสุขภาพไปทีละเล็กทีละน้อย อย่างไม่รู้ตัว ดังนั้น การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันเพียงวันละแค่ 15-30 นาที นอกจากสุขภาพกายจะแข็งแรงดีแล้ว สุขภาพใจก็จะดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน

บัญญัติ ที่ 7 บัญญัติสุดท้าย การขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะจะสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็ง ตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีได้ เพราะหากขับถ่ายผิดที่ผิด อาทิ ขับถ่ายของเสียในแม่น้ำลำคลอง ไข่ของพยาธิใบไม้ตับที่ไหลผ่านท่อน้ำดีเข้าสู่ลำไส้จะออกมาปะปนกับอุจจาระ ของคน สุนัขและแมว สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้ง่าย

อย่าให้ความ สูญเสียต้องเกิดขึ้นเมื่อสายเกินไป หากเริ่มปฏิบัติตนตามบัญญัติทั้ง 7 ประการข้างต้นตั้งแต่วันนี้ คุณจะสามารถโบกมือบอกลาโรคมะเร็งตับได้อย่างถาวร ทั้งนี้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและวิธีการป้องกัน โรคมะเร็งตับ ทั้งจากชนิดเซลล์ตับและชนิดเซลล์ท่อน้ำดี ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากโครงการ "เรียนรู้เท่าทัน ป้องกันมะเร็งตับ"

โครงการ ดีๆ ที่จะเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งตับ รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเลิก พฤติกรรมการรับประทานปลาน้ำจืดมีเกล็ดแบบสุกๆ ดิบๆ กระตุ้นคนไทยตระหนักถึงภัยมะเร็งตับพร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ไทยอย่างแท้จริง หรือมูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ โทรศัพท์ 0-2354-7025 หรือ 0-2354-7028-35 เยี่ยมชมเว็บไซต์ www.nci.go.th


หน้า 26
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe02240852&sectionid=0147&day=2009-08-24

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ตั้งเป้าขยายเครือข่าย 17 จว.ภาคเหนือ เน้นระบบไอที

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11489 มติชนรายวัน


รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ตั้งเป้าขยายเครือข่าย 17 จว.ภาคเหนือ เน้นระบบไอที





รศ.นพ. นิเวศน์ นันทจิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หรือเรียกกันติดปากว่า "โรงพยาบาลสวนดอก" เป็นโรงพยาบาลขนาด 1,400 เตียง ดูแลรักษาผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลทั่วทั้ง 17 จังหวัดในภาคเหนือ ให้บริการผู้ป่วยนอกมากกว่า 2,500 รายในแต่ละวัน รวมกว่า 1 ล้านคนต่อปี ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้ทั่วถึง อีกทั้งผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ห่างไกล มีฐานะยากจนมาก และด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงเป็นส่วนใหญ่ ผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลส่วนใหญ่ก็จะมีอาการหนัก ในฐานะที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีพันธกิจทั้งด้านการเรียน การสอน และการบริการรักษาพยาบาล ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับโรงพยาบาลทั่ว 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคซับซ้อนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคที่มีอัตราเสี่ยงต่อชีวิตสูง ได้แก่ โรคหัวใจ อุบัติเหตุฉุกเฉิน ซึ่งมักเสียชีวิตหรือไม่ก็พิการในระยะเวลาอันสั้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที



รศ.นพ.วัฒนา นาวาเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางโรงพยาบาลได้นำเอาระบบไอทีทุกรูปแบบเท่าที่จะพัฒนาและแก้ปัญหาต่างๆ ให้ได้มากที่สุด โดยนำมาใช้ในรูปของการบริหารจัดการและการบริการผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องมาโดย ตลอด ซึ่งสามารถรักษาชีวิตคนไข้ได้มากกว่า 87.5% และถึงแม้ว่าในปี 2552 ซึ่งเป็นปีที่คณะแพทย์ครบรอบ 50 ปีพอดี ทางโรงพยาบาลก็ได้รับรางวัลดีเยี่ยม (Winner) รางวัล "United Nations Public Service Awards สาขาการปรับปรุงการให้บริการ 1 ใน 8 ของโลก (พิจารณาคัดเลือกจาก 600 กว่าองค์กรทั่วโลก) ซึ่งก็ได้รับรางวัลจากสหประชาชาติ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลในสาขานี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีอะไร ที่ทางโรงพยาบาลจะหยุดนิ่ง เรายังคงต้องรักษามาตรฐานนี้ต่อไปและยิ่งต้องพัฒนาให้ดีขึ้นต่อๆ ไปในอนาคต



ปัจจุบัน ทางโรงพยาบาลได้นำเอาระบบไอทีมาช่วยแก้ปัญหาในหลายๆ เรื่องได้เป็นอย่างดี เช่น เรื่องการ Refer คนไข้จากโรงพยาบาลทั่ว 17 จังหวัดภาคเหนือ มีการลงทะเบียนออนไลน์ การนัดหมายผ่านทางเอสเอ็มเอส การวินิจฉัยโรคร่วมกัน การประสานงานกับโรคพยาบาลทั่วภาคเหนือ การสั่งยาทางคอมพิวเตอร์ การดูผลแล็บ การใช้บาร์โคด การให้คำปรึกษาและวินิจฉัยโรคเบื้องต้นกับแพทย์เครือข่าย 17 จังหวัดในภาคเหนือ มีการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตมากขึ้น และมีระบบการบริการคอลล์เซ็นเตอร์ทีมที่ปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย เพื่อสร้างให้โรงพยาบาลเกิดการบริการแบบ "One Stop Service" ซึ่งถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ ไม่เครียด ในรูปแบบและการรักษาที่มีคุณภาพ ด้วยการบริการที่ทันสมัยและรวดเร็ว สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยได้มากขึ้น

"One Big Hospital" เป็นโครงการในอนาคตที่ทางโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ตั้งเป้าไว้ว่า โรงพยาบาลจะเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลของภาคเหนือ ในการบริการด้วยระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงทุกโรงพยาบาลทั่วทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นโรงพยาบาลเดียวร่วมกันทั้งภาคเหนือ โดยแต่ละที่ก็เป็นเครือข่ายซึ่งกันและกัน ปัจจุบันทางโรงพยาบาลก็กำลังขยายเครือข่ายไปยังโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณ สุขทุกแห่งอีกด้วย

ซึ่งโครงการ "One Big Hospital" ก็คงต้องอาศัยระยะเวลา และความทุ่มเทของทีมแพทย์ทุกคน ที่จะช่วยขับเคลื่อนและเป็นกลไกในการดำเนินการ ขยายเครือข่าย ปรับมาตรฐานระบบไอทีให้เชื่อมต่อกัน ประสานข้อมูลซึ่งกันและกัน วางระบบแผนงานกลางร่วมกันเกิดนโยบายที่ชัดเจนร่วมกัน แล้วค่อยๆ Training และขยายเครือข่ายไปเรื่อยๆ ถ้าโครงการนี้สำเร็จ ก็จะเกิดประโยชน์และช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างแน่ นอน


หน้า 26

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe01240852&sectionid=0147&day=2009-08-24

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://twitter.com/care2causes
http://twitter.com/actionalerts
http://tham-manamai.blogspot.com
http://thammanamai.blogspot.com
http://sunsangfun.blogspot.com
http://dbd-52hi5com.blogspot.com
http://sundara21.blogspot.com
http://newsnet1951.blogspot.com
http://same111.blogspot.com
http://sea-canoe.blogspot.com
http://seminarsweet.blogspot.com
http://sunsweet09.blogspot.com
http://dbd652.blogspot.com
http://net209.blogspot.com
http://parent-youth.blogspot.com
http://netnine.blogspot.com
http://parent-net.blogspot.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.educationatclick.com/th 







แบ่งปันความทรงจำกับคนอื่นๆ ที่คุณต้องการทางออนไลน์ได้ คนอื่นๆ ที่คุณต้องการ

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คุก 20 ปี! เจ้าของผับนรกอาร์เจนฯ ย่างสด 194 ศพ แบบเดียวกับ 'ซานติก้า'

คุก 20 ปี! เจ้าของผับนรกอาร์เจนฯ ย่างสด 194 ศพ แบบเดียวกับ 'ซานติก้า'
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 สิงหาคม 2552 05:14 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
โอมาร์ ชาบัน เจ้าของไนท์คลับถูกจำคุก 20 ปี ในเหตุเพลิงไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อาร์เจนตินา

(ไฟล์ภาพ) สภาพของโครแม๊กนอนคลับ ที่กลายเป็นสถานที่โด่งดังของอาร์เจนตินา

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094659
เอเจนซี - เจ้าของไนท์คลับแห่งหนึ่งในกรุงบัวโนสไอเรส ถูกพิพากษาจำคุก 20 ปีเมื่อวันพุธ(19) จากเหตุเพลิงไหม้เมื่อ 5 ปี ก่อนที่คร่าชีวิตนักท่องราตรีไปกว่า 194 ศพ ซึ่งนับเป็นเหตุไฟไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาร์เจนตินา
       
       ด้วยการรอคอยคำพิพากษาอันยาวนานก่อให้เกิดความวุ่นวายทั้งในห้อง พิจารณาคดี และด้านนอกอาคารศาล บริเวณที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงผู้เสียชีวิตมีเหตุกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย จนตำรวจต้องมาแยกพวกเขาออกจากกัน
       
       เหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ปี 2004 เกิดขึ้นเมื่อแขกรายหนึ่งจุดพลุในโครแม็กนอนคลับ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยฝูงชนระหว่าง Callejeros วงดนตรีร็อกยอดนิยมกำลังแสดงบนเวที
       
       ผู้จัดการวงดนตรีถูกจำคุก 18 ปี ขณะที่สมาชิกของวงศาลตัดสินให้พ้นโทษ อย่างไรก็ตาม ตำรวจระดับสูงรายหนึ่งและเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของเมืองต่างก็ต้องชด ใช้กรรมในคุก
       
       คาดหมายว่า โอมาร์ ชาบัน เจ้าของไนท์คลับ ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาติดสินบนและเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ถูกตัดสินลงโทษ นั่นหมายความว่าทั้งหมดจะยังไม่ถูกนำตัวไปเข้าคุกในทันที
       
       พลุก่อให้เกิดกลุ่มควันและไฟลุกไหม้ถาโถมเข้าใส่ฝูงชน ทั้งนี้เหยื่อส่วนใหญ่เหยียบกันตายขณะพยายามตะเกียกตะกายไปยังประตูทางออก ฉุกเฉินที่ถูกเจ้าของล็อคไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนแอบเข้ามาภายในโดยไม่เสีย ค่าบัตรผ่านประตู
       
       ฟาเบียนา ปูเอบลา วัย 32 ปี รอดชีวิตแต่ก็สูญเสียแฟนหนุ่มไปในเหตุการณ์ดังกล่าว กล่าวเหมือนกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ และครอบครัวของเหยื่อว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการคอร์รัปชัน และความไม่เอาใจใส่ของเจ้าของ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเมือง



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

มหัศจรรย์สมุนไพรไทย "ต้านโรค"

 
มหัศจรรย์สมุนไพรไทย "ต้านโรค"
คน สมัยนี้เป็นอะไรนิดหน่อยก็ชอบกินยา แถมยังเชื่อผิดๆ ว่า อยากมีสุขภาพดีชีวิตยืนยาวต้องรับประทานอาหารเสริม และวิตามินเยอะๆ แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมหัศจรรย์เท่ากับสมุนไพรไทย ที่ทั้งราคาถูก ปลูกเองก็ง่าย และเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ต้านโรคภัยได้สารพัดนึก


ถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ ความบกพร่องทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม อาหาร รวมถึงความเครียด และการใช้ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง "มะเร็ง" กลัวสมุนไพรไทยอยู่หลายตัว เพราะมีสารอาหารต้านโรคร้ายได้น่าทึ่ง

ใครอยากห่างไกลมะเร็ง แนะนำให้ทานกระเทียม และผักจำพวกหอม ซึ่งอุดมด้วยซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานมะเร็งโดยธรรมชาติ ขณะที่ผักจำพวกกะหล่ำปลี มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ และช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนขมิ้นขาวและขมิ้นชัน นอกจากจะมีสรรพคุณขับลมในลำไส้แล้ว ยังมีสารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วย สำหรับสาวๆ ควรทานผลไม้จำพวกส้มเป็นประจำ เพราะช่วยล้างสารก่อมะเร็ง และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม

แพทย์ทางเลือกยังได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของมะรุม สมุนไพรไทยแท้ๆ ว่ากันว่า หากทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โดยคนเฒ่าคนแก่นิยมกินมะรุมช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่ฝักมะรุมหาได้ง่าย วิธีทานมีทั้งการนำช่อดอกมะรุมไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก หรือนำยอดมะรุม, ใบอ่อน, ช่อดอก และฝักอ่อนมาลวก หรือต้มให้สุก จิ้มทานกับน้ำพริก หรือจะใช้ยอดอ่อนและช่อดอกทำแกงส้ม ก็อร่อยดีมีประโยชน์ ยังมีการวิจัยด้วยว่า คนที่ทำคีโมรักษามะเร็งควรดื่มน้ำมะรุม ช่วยลดอาการแพ้รังสีได้ดี


คน อ้วน คือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาการบ่งชี้ ได้แก่ มีปริมาณกลูโคสในเลือดสูง เนื่องจากความผิดปกติในการทำงานของอินซูลิน ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำรุนแรง น้ำหนักลด อ่อนเพลีย อยากอาหารมากกว่าปกติ ติดเชื้อง่าย มีอาการแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต และมีปัญหาทางสายตา การรักษาโรคเบาหวานอย่างได้ผล ต้องทำควบคู่กับการวางแผนทางโภชนาการ

โดยสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน อาทิเช่น มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน บำรุงเลือด และขับปัสสาวะ รวมทั้งรักษาโรคไต ฟักทอง ช่วยป้องกันมะเร็งในปอด ป้องกันเบาหวาน และคุมน้ำตาลในเลือด ตำลึง มีสรรพคุณเป็นยาดับพิษภายในร่างกาย ลดอาการไข้ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบของตำลึงนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยรักษาเบาหวานได้ ผักบุ้ง ไม่ได้ทำให้ตาหวานอย่างเดียว แต่ยังบำรุงกระดูก ลดไข้และแก้เบาหวาน ส่วนมะระขี้นก เชื่อว่าช่วยบำรุงน้ำดี แก้โรคตับอักเสบ และป้องกันโรคเบาหวาน แม้แต่มะรุม ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน


คน อ้วนมีความเสี่ยงเป็นโรคสารพัด ทั้งเบาหวาน มะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจ และโรคข้ออักเสบ การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนอ้วน คือ ต้องทำค่อยเป็นค่อยไป นอกจากจะจำกัดปริมาณอาหาร หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว การเลือกทานสมุนไพรเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์พิชิตโรคอ้วน ควรทานแมงลักเพื่อช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก และลดน้ำหนักได้หลายกิโล

ส่วนกระเจี๊ยบมอญ ลดความดันโลหิต รักษาโรคกระเพาะ และเป็นยาระบายชั้นดี แตงโม เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำแตงโมปั่นยังช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร มะละกอ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย และมะม่วงสุก ระบายของเสียภายในได้ดี ช่วยแก้อ่อนเพลีย


ความเครียดถือเป็นตัวการให้เกิดโรคร้ายนับไม่ถ้วน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ สมุนไพรไทยที่ช่วยลดความเครียดและทำให้นอนหลับสบาย คือ สายบัว ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความเครียดทางสมอง กะหล่ำปลี ช่วยลดความเครียด มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้

ขี้เหล็ก แก้นิ่วในไต ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับชั้นดี ใบบัวบก แก้ร้อนใน ทำให้ความจำดี ช่วยลดความเครียด ฟ้าทะลายโจร แก้อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ มะนาว - มะกรูด ช่วยให้นอนหลับ บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และพริกไทย ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดเครียดได้ผลดี


เป็น โรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งคนปกติอาจไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีทั้งแพ้ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาการมีได้หลายแบบ ตั้งแต่น้ำมูกไหล จาม โพรงจมูกอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ หลอดลมอักเสบ หอบหืด และเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง การต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ จะต้องเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

โดยสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณด้านนี้ ต้องยกให้กะหล่ำดอก บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่คื่นฉ่าย มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย บำรุงไตให้แข็งแรง ถ้านำมาปั่นกับแครอท ผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า จะช่วยให้สุขภาพดี




ที่มาข้อมูล : http://www.thaihealth.or.th
 
https://www.myfirstbrain.com/Knowledge_View.aspx?Id=70104

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มารู้จักระบบจดจำใบหน้าบนรูปภาพของ Picasa กันเถอะ

Picasa เป็น Freeware จาก Google ที่ใช้ในการจัดการรูปภาพต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ของคุณโดยในเวอร์ชั่น 3 ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้มีความสามารถในการจดจำใบหน้าของคนในรูปได้! ลองคิดดูสิครับว่าบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมีรูปภาพของคุณ, เพื่อน และคนรู้จักมากมาย ดังนั้นจะเป็นการดีแค่ไหนถ้าคุณสามารถค้นหาภาพของบุคคลคนนั้นได้เพียงแค่ทำ การกรอกชื่อของเขาลงไป ซึ่งในจุดนี้เองที่ทำให้ระบบจดจำใบหน้าของคนในภาพของ Picasa มีประโยชน์อย่างมาก (ส่วนจะทำงานได้แม่นยำแค่ไหนอันนี้ต้องไปลองเล่นกันเองครับ) ก่อนอื่นเลยให้คุณไปที่ http://picasa.google.com/ เพื่อทำการดาวน์โหลดโปรแกรมตัวนี้มาซะก่อนครับ เมื่อดาวน์โหลดมาเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณทำการ install โปรแกรมไปตามปกติครับ จากนั้นเมื่อเปิดโปรแกรม Picasa ขึ้นมาโปรแกรมจะทำการ scan เพื่อหาไฟล์รูปภาพบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งคุณสามารถกำหนดให้โปรแกรมทำการค้นหาทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือกำหนด folder ให้มันก็ได้ เมื่อโปรแกรม scan รูปภาพเรียบร้อยแล้วให้คุณ login เข้าสู่ picasa web alubum โดยคลิ๊กที่มุมขวาบนสุดในหน้าต่างโปรแกรม Picasa (ถ้าไม่มี Google Account ให้ไปทำการสมัครที่ Google ซะก่อน) เมื่อ login ตามรูปข้างบนแล้วให้ทำการเลือกอัลบั้มที่คุณต้องการจะ upload จากหน้าโปรแกรม Picasa บนเครื่อง เลือกอัลบั้มที่ต้องการแล้วคลิ๊กที่ปุ่ม “ทำให้ข้อมูลตรงกับเว็บ” โปรแกรมจะทำการ sync รูปภาพบนเครื่องตาม folder [...]
http://blog.hack-google.com/
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009